กรณีพนักงานลงเวลาทำงานแทนกัน ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ นายจ้างสามารถพิจารณาลงโทษได้อย่างไรบ้าง มาไขข้อสงสัยกันได้ในบทความนี้เลย

บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ:

Q: พนักงานลงเวลาทำงานแทนกันสามารถเลิกจ้างได้หรือไม่

การลงเวลาทำงาน ถือเป็นหลักฐานสำคัญในการเบิกจ่ายค่าจ้างและค่าทำงานล่วงเวลา และเป็นหลักปฏิบัติในแต่ละองค์กรอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการทุจริต การเข้าทำงานสาย การออกจากงานก่อนเวลาเลิกงาน หรือแม้กระทั่งการเบิกค่าจ้างและค่าล่วงเวลาไม่ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้นายจ้างต้องจ่ายเงินให้กับลูกจ้างโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการทำงานของลูกจ้างตามที่ควรจะเป็น

ในกฎระเบียบข้อบังคับการทำงานว่าด้วยเรื่อง “การลงเวลาทำงาน” ของบริษัทหรือองค์กรโดยทั่วไปมักจะกำหนดว่า พนักงานจะต้องบันทึกเวลาทำงานและเลิกงานด้วยตนเอง ยกเว้นหน่วยงานนั้น ๆ จะมีข้อกำหนดเป็นอย่างอื่น การลงเวลาทำงานแทนกันจึงถือเป็นการกระทำอันทุจริตต่อหน้าที่ อาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงได้

A: สามารถเลิกจ้างได้ เพราะถือเป็นการกระทำผิดกฎระเบียบที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่

หากลูกจ้างลงเวลาการทำงานของตนไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือลงเวลาทำงานแทนกัน แม้จะยังไม่ได้มีการนำหลักฐานไปเบิกเงิน แต่การกระทำของลูกจ้างส่อไปในทางทุจริต และอาจเป็นผลให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างและค่าทำงานล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างตามการลงเวลาทำงานนั้น จึงถือได้ว่าการกระทำของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรง นายจ้างสามารถพิจารณาลงโทษเลิกจ้างได้ทันที

Q: หากนายจ้างเลิกจ้างพนักงานด้วยเหตุลงเวลาแทนกัน จะต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่

A: หากเป็นเหตุที่เข้าข่ายทุจริตนายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ถ้าเป็นเหตุที่ลูกจ้างไม่มีเจตนาทุจริต เป็นเพียงการกระทำผิดข้อบังคับการทำงาน และนายจ้างไม่เสียหาย กรณีนี้หากเลิกจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการกระทำผิดกฎข้อบังคับการทำงานกรณีพนักงานลงเวลาแทนกันนั้นนายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ แต่ในเรื่องของการจ่ายค่าชดเชยนั้นจำเป็นต้องพิจารณาถึงประเด็นข้อเท็จจริงร่วมด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่มีข้อเท็จจริงเข้าข่ายทุจริต

- กรณีที่ 1 นาย A ฝากบัตรลงเวลาการทำงานไว้ให้นาย B รูดลงเวลาเข้างานให้ทุกเช้า ด้วยเหตุที่ว่านาย A บ้านอยู่ห่างไกลจากที่ทำงาน จึงทำให้เดินทางมาทำงานสายเป็นประจำ

- กรณีที่ 2 บริษัทมอบหมายให้นาย A กับนาย B ทำงานล่วงเวลา (โอที) ต่อจากเวลาเลิกงาน 3 ชั่วโมง แต่นาย A เลือกที่จะออกไปทานข้าวกับแฟนในเวลาโอที แล้วฝากบัตรไว้ให้นาย B รูดเวลาออกงานให้ จากนั้นค่อยนำเงินค่าโอทีของตนเองมาแบ่งปันกับนาย B ทีหลัง

ทั้งสองกรณีนี้มีข้อเท็จจริงเข้าข่ายทุจริต เพราะพนักงานกระทำผิดโดยมีเจตนาหวังผลประโยชน์ และทำให้นายจ้างเสียผลประโยชน์ จึงสามารถเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่มีข้อเท็จจริงไม่ถือว่าทุจริต

กรณีนายจ้างมอบหมายให้นาย A เดินทางไปงานสัมมนานอกบริษัทช่วงบ่าย นาย A เห็นว่ากว่าจะปฏิบัติภารกิจเสร็จก็เป็นช่วงเวลาเย็นที่มีการจราจรติดขัด น่าจะเดินทางกลับมายังบริษัทไม่ทันเวลาเลิกงาน ประกอบกับสถานที่สัมมนาก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของตน จึงไม่อยากเดินทางย้อนไปย้อนมา นาย A จึงถือวิสาสะฝากบัตรไว้ให้นาย B รูดออกงานให้

กรณีนี้ทั้งนาย A และนาย B มีความผิดในเรื่องฝาฝืนข้อบังคับบริษัท แต่ความผิดนี้ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง เพราะไม่ได้มีเจตนาทุจริตชัดเจน การรูดบัตรแทนกันช่วงเลิกงานที่ไม่ได้ค่าจ้างเพิ่ม นายจ้างไม่เสียหาย หากนายจ้างจะเลิกจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย

ดังนั้นในกรณีนี้นายจ้างควรออกหนังสือตักเตือนพนักงานทั้ง 2 คน ว่าห้ามรูดบัตรลงเวลาแทนกันอีก ถ้าพบว่ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับซ้ำอีก บริษัทก็สามารถเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

สรุป พนักงานลงเวลาแทนกัน เลิกจ้างได้หรือไม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยไหม

การลงเวลาทำงานแทนกัน เป็นการกระทำที่ผิดกฎระเบียบหรือข้อบังคับของหน่วยงาน นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วว่ามีเจตนาส่อทุจริต หากแต่กรณีที่เป็นเพียงการกระทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับการทำงาน พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วว่าไม่ได้มีเจตนาทุจริตชัดเจน นายจ้างอาจพิจารณาโทษโดยการออกหนังสือเตือน หรือหากจะเลิกจ้างก็จะต้องจ่ายค่าชดเชย

หมดห่วงเรื่องปัญหาการลงเวลาการทำงานแทนกันของพนักงาน เมื่อคุณเลือกใช้โปรแกรม HR ของ HumanSoft เพราะเรามีระบบการลงเวลาแบบสแกนใบหน้าและตรวจสอบตำแหน่ง GPS ที่พนักงานจะสามารถลงเวลาการทำงานได้ด้วยการสแกนใบหน้าของตนเอง และสามารถสแกนได้ในรัศมีพื้นที่ที่หน่วยงานกำหนดเท่านั้น ทดลองใช้งานฟรี 30 วันได้เลย