ตอบข้อสงสัย พนักงานยักยอกทรัพย์ & ลักทรัพย์นายจ้าง นายจ้างควรจัดการอย่างไร? หากพนักงานกระทำความผิดจริงจะได้รับโทษทางกฎหมายอะไรบ้าง ไปหาคำตอบได้จากบทความนี้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- HR ต้องรู้! สรุป พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ 8 พ.ศ.2566
- HRเช็กด่วน เลิกจ้างกรณีใดบ้างที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
- Q&A ไขข้อสงสัย นายจ้างออกใบเตือนซ้ำกี่ครั้ง จึงเลิกจ้างได้?
- Q&A เลิกจ้างพนักงาน ต้องจ่ายเงินชดเชยเท่าไร? ตามกฎหมายแรงงาน
ความแตกต่างระหว่าง ลักทรัพย์ VS ยักยอกทรัพย์นายจ้าง
การลักทรัพย์ คือ การเอาทรัพย์สินของผู้อื่นไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเจตนาจะคืนทรัพย์สินนั้น หรือที่เรียกว่า การขโมย โดยที่ผู้ถูกลักทรัพย์ไม่ทราบหรือยินยอมให้ทรัพย์สินของตนถูกเอาไป เช่น ลูกจ้างขโมยกระเป๋าเงินจากกระเป๋าของนายจ้าง ไปใช้ส่วนตัว
การยักยอกทรัพย์ คือ การที่ลูกจ้างหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของนายจ้างแอบนำทรัพย์สินของนายจ้างไปใช้โดยมิชอบ มักจะเกิดจากการใช้ตำแหน่งของตนเองหรือการเชื่อมโยงกับนายจ้างในการยักยอกทรัพย์ เช่น การยักยอกเงินจากบริษัทที่ตนทำงานอยู่
พนักงานยักยอกทรัพย์ ลักทรัพย์ นายจ้างควรจัดการอย่างไร?
เมื่อพนักงานมีการยักยอกทรัพย์หรือ ลักทรัพย์จากนายจ้าง นายจ้างควรดำเนินการอย่างรอบคอบและเป็นระบบ ตามขั้นตอนที่ช่วยรักษาผลประโยชน์ขององค์กรและความเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ดังนี้
1. การตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายจ้างต้องรวบรวมหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เช่น เอกสารบัญชี พยานบุคคล หรือภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อพิสูจน์ความผิดของพนักงาน รวมทั้งต้องมีการสอบสวนเบื้องต้นเพื่อหาข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. การดำเนินการภายในองค์กร
พนักงานที่ถูกกล่าวหาควรได้รับโอกาสในการชี้แจงข้อกล่าวหาก่อน โดยนายจ้างต้องจัดการอย่างเป็นธรรม เพื่อให้พนักงานมีสิทธิ์ตอบหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น หลังจากการสอบสวนเสร็จสิ้น นายจ้างอาจพิจารณาระงับการปฏิบัติงานของพนักงานที่สงสัยว่ากระทำผิดชั่วคราว เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อองค์กร
3. การแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อรวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้น นายจ้างควรนำไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นทางการ การแจ้งความจะช่วยให้การสืบสวนสอบสวนมีความชัดเจนและอาจนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดได้
4. การดำเนินการทางวินัย
หากพบว่าพนักงานมีความผิดจริง นายจ้างสามารถดำเนินการตามระเบียบวินัยของบริษัท เช่น การแจกใบเตือน การพักงาน หรือการเลิกจ้าง ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำผิด โดยต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและสอดคล้องกับนโยบายของบริษัท เพื่อให้เป็นธรรมและป้องกันการฟ้องร้องภายหลัง
5. การปรับปรุงระบบควบคุมภายใน
นายจ้างควรตรวจสอบและปรับปรุงระบบการควบคุมภายในองค์กร เพื่อหาจุดอ่อนและเสริมประสิทธิภาพของระบบ เช่น การตรวจสอบภายในอย่างสม่ำเสมอ การแบ่งแยกหน้าที่อย่างชัดเจน และการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการเงินและบัญชี เพื่อป้องกันการทุจริตในอนาคต
ยักยอกทรัพย์ ลักทรัพย์ มีโทษทางกฎหมายอย่างไรบ้าง?
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์
- ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อิ่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต”
- มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานลักทรัพย์
- มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดย ทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์”
- โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่ลูกจ้างกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคท้าย “การบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่การเลิกจ้างตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัตินี้และมาตรา 583 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” แปลว่าเมื่อลูกจ้างทำความผิด และนายจ้างสอบสวนจนพบความจริงว่าลูกจ้างทำผิดจริง ก็ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้า นายจ้างให้ออกจากงานได้เลยทันที โดยไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยจากการเลิกจ้าง และไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมด้วย
สรุป พนักงานยักยอกทรัพย์ ลักทรัพย์ นายจ้างควรจัดการอย่างไร?
โดยสรุปแล้ว การจัดการกับพนักงานที่ยักยอกทรัพย์และลักทรัพย์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งนายจ้างต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังในการตัดสินใจ โดยการรวบรวมหลักฐานและพยานให้ครบถ้วนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง การดำเนินการทุกขั้นตอนต้องทำอย่างรอบคอบเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่พนักงาน พร้อมทั้งรักษาผลประโยชน์ของบริษัท การปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต