“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” สวัสดิการเพื่อความมั่นคงทางการเงินของพนักงาน ก่อนตัดสินใจสะสมเงินเข้ากองทุน มาทำความเข้าใจกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับเมื่อลาออกกัน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืออะไร? ทำไมองค์กรยุคใหม่ควรมี
- Q&A ถาม-ตอบทุกข้อสงสัยกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ง่ายๆ ด้วยโปรแกรม HR
- Q&A กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อลูกจ้างลาออกต้องทำอย่างไร?
- Q&A เช็คยอดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างไร?
- Q&A นายจ้างต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพกี่ %
- วิธีคิดเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พร้อมแจกไฟล์ Excel
บทบาทและวัตถุประสงค์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
บทบาทและวัตถุประสงค์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้พนักงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเป็นเครื่องมือในการออมเงินระยะยาวที่พนักงานสะสมจากเงินเดือนรายเดือน ซึ่งนายจ้างก็จะมีการสมทบเงินในส่วนนี้เพิ่มเติม ทำให้เงินในกองทุนเติบโตเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน การสะสมเงินนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานมีเงินก้อนใช้หลังเกษียณ แต่ยังสามารถเป็นแหล่งเงินสำรองเมื่อต้องลาออกหรือตกงานโดยไม่คาดคิด
บทบาทของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังช่วยให้พนักงานมีวินัยทางการเงิน และส่งเสริมการวางแผนเพื่อการใช้จ่ายในอนาคตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและความพึงพอใจในการทำงาน เพราะรู้สึกว่ามีความมั่นคงทางการเงินที่นายจ้างให้การสนับสนุน ถือเป็นสวัสดิการที่ดีที่ช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานให้กับองค์กรอีกด้วย
Tips! อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> กองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืออะไร? ทำไมองค์กรยุคใหม่ควรมี <<
สิทธิประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พนักงานจะได้รับเมื่อลาออกจากงาน
รายละเอียดเกี่ยวสิทธิประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พนักงานจะได้รับเมื่อลาออกจากงาน มีดังนี้
1. เงินสะสมของพนักงาน
เงินส่วนนี้เป็นส่วนที่ลูกจ้างหรือสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจ่ายสะสมเข้ากองทุนทุกเดือน รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากเงินสะสม เมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง พนักงานมีสิทธิได้รับเงินส่วนนี้คืนเต็มจำนวนในทุกกรณี โดยไม่ถูกหักค่าธรรมเนียมใด ๆ ซึ่งถือเป็นการรับรองว่าพนักงานจะมีเงินออมที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามต้องการในอนาคต
2. เงินสมทบจากนายจ้าง
เงินสมทบนี้เป็นส่วนที่นายจ้างทำการสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับพนักงานทุกเดือน โดยเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเงินสะสมของพนักงาน เมื่อสมาชิกสิ้นสุดความเป็นสมาชิก จำนวนเงินสมทบที่พนักงานจะได้รับคืนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อบังคับของแต่ละกองทุน โดยทั่วไปแล้วจะมีการกำหนดจำนวนเงินสมทบตามอายุงานหรือระยะเวลาที่สมาชิกได้เข้าร่วมในกองทุน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้พนักงานทำงานกับองค์กรในระยะยาว
ตัวอย่างเงื่อนไขการจ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อพนักงานลาออก
• อายุงานน้อยกว่า 1 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 10%
• อายุงานตั้งแต่ 1 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 20%
• อายุงานตั้งแต่ 2 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 3 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 40%
• อายุงานตั้งแต่ 3 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 4 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 50%
• อายุงานตั้งแต่ 4 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 80%
• อายุงานมากกว่า 5 ปี ขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 100%
Tips! อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราเงินสมทบได้ที่นี่ >> วิธีคิดเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พร้อมแจกไฟล์ Excel <<
3. สิทธิในการโอนย้ายกองทุน
สิทธิในการโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสิทธิประโยชน์ที่สำคัญที่พนักงานจะได้รับเมื่อลาออกจากงาน โดยพนักงานมีสิทธิที่จะโอนเงินสะสมที่ได้สะสมไว้ในกองทุนของนายจ้างเก่าไปยังนายจ้างใหม่หรือกองทุนอื่น ๆ ที่เปิดให้บริการอยู่ สิทธิประโยชน์นี้ช่วยให้พนักงานสามารถรักษาเงินออมและสิทธิประโยชน์ทางการเงินได้ต่อเนื่อง
4. สิทธิประโยชน์ทางภาษี
การเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เมื่อสิ้นสุดการเป็นสมาชิก ในส่วนของเงินสะสมจะได้รับการยกเว้นภาษี อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากเงินสมทบจะต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี โดยเงื่อนไขการเสียภาษีจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี ขึ้นอยู่กับอายุและระยะเวลาที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กรณีที่ 1: ออกจากงานก่อนอายุ 55 ปี และอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพน้อยกว่า 5 ปี
กรณีนี้จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยต้องนำเงินที่ได้ทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากเงินสมทบ ไปรวมกับเงินได้อื่นเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามปกติ
กรณีที่ 2: ออกจากงานก่อนอายุ 55 ปี และอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
พนักงานสามารถเลือกได้ว่าจะรวมรายได้จากกองทุนเข้ากับรายได้อื่นเพื่อยื่นภาษี หรือคำนวณภาษีแยกต่างหาก หากเลือกคำนวณภาษีแยก จะสามารถหักค่าใช้จ่ายพิเศษได้ 2 ส่วน คือ
1. คำนวณค่าใช้จ่ายส่วนแรกโดยนำ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน
2. หักค่าใช้จ่ายส่วนแรกจากเงินได้ แล้วนำผลลัพธ์ที่เหลือคูณด้วย 50%
จากนั้นให้นำเงินที่คำนวณหักค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ส่วนนี้ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สุทธิในขั้นแรก 150,000 บาท
กรณีที่ 3: เกษียณอายุ (อายุ 55 ปีขึ้นไป) และอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีทั้งจำนวน
สรุป รวมสิทธิประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อลาออกจากงาน
ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อนลาออกเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการตัดสินใจสะสมเงินเข้ากองทุน เพราะเป็นพื้นฐานที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ พนักงานจะมีโอกาสได้รับเงินสะสมที่ตนเองได้สะสมไว้ รวมถึงเงินสมทบจากนายจ้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าเงินออมอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการโอนย้ายกองทุนไปยังนายจ้างใหม่ และสิทธิประโยชน์ทางภาษี