ทักษะความเป็นผู้นำคือคุณสมบัติที่มีอิทธิพลในการสั่งการและการทำงานให้สำเร็จ สนับสนุนความคิดริเริ่ม สร้างความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายในทีม
บทความเกี่ยวข้องที่คุณอาจสนใจ :
- 7 เทคนิค สร้าง Teamwork ให้มีประสิทธิภาพ
- กลยุทธ์ 5C สู่ "การทำงานเป็นทีม" ที่ทุกองค์กรควรมี
- ลูกทีมลางานกะทันหัน หัวหน้างานรับมืออย่างไรดี?
- Trend การทำงานในองค์กรปี 2023 ที่ HR ควรรู้
- 4 ลักษณะนิสัยของผู้นำที่่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
ทักษะความเป็นผู้นำหมายถึงอะไร?
ทักษะความเป็นผู้นำประกอบด้วยความสามารถหรือจุดแข็งจากบุคคลที่มีบทบาทในการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยในการชี้แนะและสนับสนุนกลุ่มคนหรือทีมงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน หรือที่เรียกกันติดปากว่า "Teamwork" โดยทักษะความเป็นผู้นำนี้ประกอบไปด้วย การสื่อสาร การเจรจาต่อรอง การแก้ไขข้อขัดแย้ง การตัดสินใจ และอื่นๆ
องค์ประกอบของทักษะความเป็นผู้นำ
1. การสื่อสาร
เมื่อคุณทำงานในตำแหน่งผู้นำ คุณจะต้องสามารถอธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ความคาดหวังไปจนถึงเป้าหมายและงานต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องสร้างการสื่อสารแบบเปิดระหว่างคุณกับสมาชิกในทีม ซึ่งการสร้างสภาพแวดล้อมของการสื่อสารแบบเปิดนั้น ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมบรรยากาศของความโปร่งใสอีกด้วย ดังนั้นการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมจะไม่เพียงแค่คำนึงถึงสิ่งที่กำลังสื่อสารเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงวิธีการสื่อสารด้วย
และในฐานะนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การพูดสื่อสารเท่านั้น ยังรวมถึงการฟังอย่างกระตือรือร้น การสื่อสารแบบอวัจนภาษา ทักษะการนำเสนอ และการพูดในที่สาธารณะอย่างมีส่วนร่วมด้วย
2. การเจรจาต่อรอง
การเจรจาเกี่ยวข้องกับบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ที่มีส่วนร่วมในการสนทนาเพื่อหาแนวทางแก้ไขในแบบที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ เป็นผลให้คุณและบุคคลที่คุณกำลังเจรจา ด้วยอาจบรรลุข้อตกลงที่เป็นทางการ เช่น สัญญาหรือข้อตกลงทางวาจา เมื่อผู้ที่มีทักษะความเป็นผู้นำการเจรจาต่อรอง จะสามารถส่งเสริมความรู้สึกยุติธรรมและความเท่าเทียมกันได้มากขึ้น ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือเพื่อนร่วมงานก็อาจรู้สึกเข้าใจมากขึ้นเมื่อถูกจัดการกับข้อขัดแย้งด้วยการเจรจาของผู้ที่มีทักษะผู้นำนี้
อย่างไรก็ตามการเจรจาต่อรองที่มีประสิทธิผลนั้น จะต้องทำความเข้าใจผลประโยชน์ของทุกฝ่าย เพื่อบรรลุแนวทางแก้ไขที่แต่ละฝ่ายพอใจ
3. แก้ปัญหาความขัดแย้ง
ผู้นำที่กระตือรือร้นจะเข้าใจวิธีหลีกเลี่ยงข้อพิพาทและมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามหลักการแล้ว ผู้นำที่ดีจะสามารถรักษาความสงบและตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณเมื่อต้องจัดการกับความขัดแย้งต่างๆ และตัวอย่างที่ดีของการแก้ไขข้อขัดแย้ง คือ ตัวแทนฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ที่มีการรับฟังอย่างกระตือรือร้น เพื่อช่วยผู้จัดการและผู้ใต้บังคับบัญชายุติข้อขัดแย้งนั้นๆ
4. ความสามารถในการปรับตัว
ในฐานะผู้นำที่ปรับตัวได้ จะปรับพฤติกรรมเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ผู้นำจะมีความยืดหยุ่น เมื่อเรื่องต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความพ่ายแพ้ โดยผู้นำจะมองว่าเป็นโอกาสในการเติบโต แล้วแสดงความสามารถในการปรับตัวที่มีความยืดหยุ่นและสามารถเข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้
5. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจประเด็นหรือหัวข้ออย่างถ่องแท้ ถือเป็นการกระทำของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งขั้นตอนของกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณมักเกิดจากการรวบรวมข้อเท็จจริงและข้อมูล การตั้งคำถามโดยเจตนา และตรวจสอบคำตอบที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณทำงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคลและต้องยุติข้อพิพาทระหว่างเพื่อนร่วมงานสองคน การใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณจะมีประโยชน์ในการกำหนดลักษณะของความขัดแย้งและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม การคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการตัดสินใจ
6. การตัดสินใจ
ผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง สมาชิกในทีม ลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และองค์กร การใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการตัดสินใจจะช่วยให้คุณเป็นผู้นำที่สามารถระบุปัญหาและพัฒนาวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและพนักงาน โดยการตัดสินใจของผู้นำจะต้องมีความยุติธรรมและเป็นกลางเสมอ
7. การแก้ปัญหา
นักแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลในการเป็นผู้นำ มีความสามารถในการคาดการณ์ปัญหาในที่ทำงาน กำหนดปัญหา ระบุสาเหตุ พัฒนาแผนการแก้ไขปัญหา และเรียนรู้จากปัญหาเดิมๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต ซึ่งการแก้ปัญหาต้องใช้ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและเคารพต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การดูและนำเสนอประเด็นที่จะเป็นโอกาสและเป็นประโยชน์ต่อผู้นำและพนักงาน เช่น การลดลงของการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถมองให้เป็นโอกาสในการเพิ่มการแสดงตัวตนบนโซเชียลมีเดียมากกว่าปัญหา
8. การสร้างความสัมพันธ์
ความเป็นผู้นำนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับผู้คน หากผู้คนไม่เข้าใจบุคคลที่กำลังชี้นำ ผู้นำก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพได้ ความสามารถในการสร้างความผูกพันและสร้างความสามัคคีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้นำที่มีประสิทธิภาพ การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในที่ทำงานโดยมหาวิทยาลัย Olivet จึงแสดงให้เห็นว่า พนักงานมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากขึ้นในที่ทำงาน เมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่งานกับหัวหน้าในระดับหนึ่ง
9. การจัดการเวลา
การบริหารเวลาเกี่ยวข้องกับการวางแผนและควบคุมว่าจะทุ่มเวลาให้กับงานต่างๆ มากน้อยเพียงใด ผู้นำที่บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิผลอาจประสบความสำเร็จได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง รู้สึกเครียดน้อยลง และประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เพราะการบริหารเวลาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้นำมีเวลาให้กับบุคลากรในทีมมากขึ้น
10. ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ
ความไว้วางใจเป็นรากฐานที่สำคัญขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ ความไว้วางใจหรือความเชื่อ ความซื่อสัตย์ และอุปนิสัยของบุคคลอื่น มักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ส่วนตัว
ความเป็นผู้นำจะพัฒนาได้ดีที่สุดเมื่อมีความน่าเชื่อถือ ผู้นำต้องแน่ใจว่าคำพูดและการกระทำของตนสอดคล้องกันหากต้องการได้รับความไว้วางใจ และหากลูกน้องหรือทีมงานไม่สามารถไว้วางใจให้คุณรักษาคำพูดได้ พวกเขาจะหมดศรัทธาในตัวคุณอย่างรวดเร็ว
11. ความคิดสร้างสรรค์
กรอบความคิดที่สร้างสรรค์เปิดกว้าง ไม่ปิดหรือเข้มงวด และสร้างสรรค์แนวคิดและวิธีแก้ปัญหาที่มีทั้งความสำคัญและมีประสิทธิภาพ โดยการสนับสนุนให้ทีมงานแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ผู้นำจะมอบโอกาสในการพัฒนาสินค้าและบริการที่ทำให้ทีมแตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน นอกจากนี้ ผู้นำที่สร้างสรรค์ยังส่งเสริมวัฒนธรรมเชิงนวัตกรรม โดยการสนับสนุนให้ทีมแสดงความเฉลียวฉลาดออกมาอีกด้วย
12. แนวทางเชิงกลยุทธ์
ผู้นำต้องคิดอย่างมีกลยุทธ์และมีวิจารณญาณเมื่อทำการตัดสินใจที่ยากลำบาก ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบและวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณเพื่อนำทีมไปสู่ความสำเร็จ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะคิดก่อนที่จะลงมือทำ หรืออีกนัยหนึ่งคือ มีแผนกลยุทธ์ก่อนดำเนินการ เวลาที่ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับปัญหาหรือการตัดสินใจ และผู้นำที่ดีจะอุทิศเวลาที่จำเป็นในการพัฒนากลยุทธ์เสมอ
13. การตระหนักรู้ในตนเอง
การตระหนักรู้ในตนเองของการเป็นผู้นำนั้น เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจบุคลิกภาพ พฤติกรรม และแรงจูงใจของตัวเอง จากนั้นพิจารณาว่าลักษณะและคุณสมบัติเหล่านี้มีอิทธิพลต่อทักษะความเป็นผู้นำของคุณอย่างไร การไตร่ตรองตนเองอาจเป็นเครื่องมืออันทรงพลังด้วยตัวมันเอง การตระหนักรู้ในตนเองและการไตร่ตรองสามารถช่วยให้คุณตระหนักถึงสิ่งที่คุณให้กับงานของคุณในฐานะผู้นำ และทำให้ทราบจุดที่ต้องปรับปรุง การตระหนักรู้ในตนเองทำให้วิเคราะห์ได้ว่า จุดใดที่คุณเป็นเลิศและจุดใดที่คุณควรเติบโต ซึ่งเมื่อความเป็นผู้นำของคุณเป็นเลิศแล้ว ประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท ก็จะมีแนวโน้มตามมาด้วย
สรุปทักษะและความสำคัญของภาวะผู้นำ
ทักษะความเป็นผู้นำมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสำเร็จและพัฒนาทั้งบุคคลและองค์กร ด้วยคุณสมบัติและทักษะเหล่านี้ ผู้นำจึงสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่นที่จะนำทีมหรือองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น