การคุ้มครองข้อมูลแรงงานไม่ใช่แค่ข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบขององค์กร บทความนี้จะพาคุณสำรวจแนวทางสำคัญตามกฎหมาย PDPA ที่ทุกองค์กรควรรู้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- ทำไมต้องทำ? PDPA กับ HR ในองค์กร
- ปลุก HR ให้พร้อมรับมือกับ PDPA ด้วยโปรแกรม HR
- หลักเกณฑ์การเรียกเงินประกันการทำงานจากลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน
- ผลงานอันเกิดจากการว่าจ้าง ใครเป็นเจ้าของตามกฎหมายลิขสิทธิ์
- กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ผู้ประกอบการมือใหม่ต้องรู้ไว้
ว่าด้วยเรื่อง กฎหมาย PDPA กับการคุมครองแรงงาน
กฎหมาย PDPA หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายที่มุ่งปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของแรงงาน โดยกำหนดให้นายจ้างต้องขอความยินยอมในการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูล พร้อมทั้งจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัย แรงงานมีสิทธิในการรับรู้ แก้ไข ลบ และคัดค้านการใช้ข้อมูล การปฏิบัติตาม PDPA ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล แต่ยังสร้างความไว้วางใจในองค์กรและป้องกันบทลงโทษทางกฎหมาย
ข้อมูลส่วนบุคคลของแรงงานที่ PDPA คุ้มครอง
• ข้อมูลพื้นฐาน: ชื่อ, ที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์
• ข้อมูลอ่อนไหว: ข้อมูลสุขภาพ, เชื้อชาติ, ศาสนา, ประวัติอาชญากรรม
• ข้อมูลการทำงาน: ประวัติการทำงาน, ผลการประเมิน, สัญญาจ้าง
ภาระหน้าที่ขององค์กรในการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA
การปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามข้อบังคับ แต่ยังเป็นความรับผิดชอบขององค์กรในการปกป้องข้อมูลแรงงาน โดยองค์กรมีหน้าที่สำคัญดังนี้
1. บทบาทของนายจ้างในฐานะผู้ควบคุมข้อมูล
นายจ้างถือเป็น "ผู้ควบคุมข้อมูล" ตาม PDPA ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของแรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยต้องปฏิบัติดังนี้
• ขอความยินยอมจากแรงงาน: ก่อนเริ่มกระบวนการจัดการข้อมูล ต้องชี้แจงวัตถุประสงค์และวิธีการใช้ข้อมูลอย่างชัดเจน
• รักษาความปลอดภัยของข้อมูล: ใช้มาตรการป้องกันการรั่วไหล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การตั้งสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง
• โปร่งใส: แจ้งแรงงานเกี่ยวกับสิทธิของตน เช่น การเข้าถึงหรือขอแก้ไขข้อมูล
• ตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลอย่างเหมาะสม: เก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงาน และลบทิ้งเมื่อหมดความจำเป็น
2. แต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO)
องค์กรที่มีการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลในปริมาณมากจำเป็นต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (DPO) เพื่อดูแลกระบวนการทั้งหมดอย่างถูกต้อง โดย DPO มีหน้าที่สำคัญดังนี้
• ให้คำปรึกษาและแนะแนวทาง: ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตาม PDPA อย่างถูกต้อง
• ตรวจสอบการจัดการข้อมูล: ดูแลการดำเนินงานและตรวจสอบว่าการจัดการข้อมูลสอดคล้องกับนโยบายและกฎหมาย
• ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง: ประสานงานระหว่างองค์กร แรงงาน และหน่วยงานกำกับดูแลในกรณีที่เกิดปัญหาหรือร้องเรียน
• สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย: สนับสนุนให้องค์กรมีการอบรมและสร้างความตระหนักรู้เรื่อง PDPA แก่พนักงาน
3. การประเมินความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล
องค์กรต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยง (Data Protection Impact Assessment - DPIA) เพื่อวิเคราะห์และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของแรงงาน โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
• ระบุความเสี่ยง: วิเคราะห์ว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลใดบ้างที่อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือถูกใช้อย่างไม่เหมาะสม
• วางแผนมาตรการป้องกัน: เช่น การจำกัดการเข้าถึงข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูล และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยคุกคาม
• ติดตามและปรับปรุง: ทบทวนความปลอดภัยของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับแผนเมื่อพบช่องโหว่
• จัดทำรายงาน: สรุปผลการประเมินและจัดเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานในกรณีที่หน่วยงานกำกับดูแลตรวจสอบ
แนวปฏิบัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA องค์กรต้องดำเนินการอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การรับสมัครจนถึงการดูแลสิทธิพนักงาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านข้อมูล ดังนี้
1. การรับสมัครและคัดเลือกพนักงาน
ในกระบวนการรับสมัครและคัดเลือกพนักงาน องค์กรควรให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม โดยจำกัดการรวบรวมข้อมูลให้เฉพาะที่จำเป็น เช่น ประวัติการศึกษาและการทำงาน รวมถึงข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือใบรับรองการทำงาน ทั้งนี้ควรแจ้งผู้สมัครเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลอย่างชัดเจน และขอความยินยอมจากผู้สมัครก่อนการดำเนินการใด ๆ พร้อมทั้งมีมาตรการลบข้อมูลของผู้สมัครที่ไม่ได้รับการคัดเลือกหลังจากหมดความจำเป็น เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัว
2. การทำสัญญาจ้าง
ในการทำสัญญาจ้าง ข้อมูลที่ใช้ เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน รายละเอียดบัญชีธนาคาร และเงื่อนไขการจ้างงาน ต้องมีการจัดการอย่างปลอดภัยโดยเก็บในระบบที่เข้ารหัสหรือพื้นที่ที่มีการควบคุมการเข้าถึงอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ องค์กรต้องแจ้งพนักงานให้ทราบว่าสัญญาจ้างและข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร และใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลดังกล่าว
3. การประเมินผลงานของพนักงาน
สำหรับการประเมินผลงานของพนักงาน ข้อมูลที่ได้จากการประเมิน เช่น คะแนนความสามารถหรือผลการปฏิบัติงาน ต้องจัดเก็บในระบบที่ปลอดภัยและโปร่งใส โดยจำกัดการเข้าถึงเฉพาะบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและผู้บังคับบัญชาโดยตรง องค์กรควรเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถตรวจสอบและขอแก้ไขข้อมูลการประเมินของตนได้หากพบความไม่ถูกต้อง
4. การบันทึกเวลาของพนักงานในรูปแบบต่าง ๆ
ในกระบวนการบันทึกเวลาการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการลงเวลาผ่านเครื่องสแกนลายนิ้วมือ การใช้ระบบ RFID หรือแอปพลิเคชันบันทึกเวลา ข้อมูลเหล่านี้ต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง โดยแจ้งพนักงานถึงวัตถุประสงค์ของการบันทึกและวิธีการจัดเก็บที่ปลอดภัย รวมถึงกำหนดให้มีการลบข้อมูลเมื่อพนักงานลาออกหรือหมดความจำเป็นต้องใช้งาน
5. การตรวจสุขภาพของพนักงานและใบรับรองแพทย์
การตรวจสุขภาพของพนักงานและการจัดการใบรับรองแพทย์ถือเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหว ข้อมูลนี้ควรถูกจัดเก็บในระบบที่มีการเข้ารหัสแยกต่างหากจากข้อมูลประเภทอื่น ๆ องค์กรควรใช้ข้อมูลเหล่านี้เฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์ที่จำเป็น เช่น ยืนยันความพร้อมของพนักงานหรือการจัดการสวัสดิการ โดยต้องแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าและขอความยินยอมก่อนการดำเนินการ
6. การให้สวัสดิการกับการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
ในเรื่องของสวัสดิการ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต หรือเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลครอบครัว รายละเอียดบัญชีธนาคาร หรือข้อมูลทางการเงิน ต้องจัดเก็บในระบบที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งแจ้งให้พนักงานทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูลและระยะเวลาที่จะจัดเก็บ
7. การจ้างแรงงานต่างด้าวกับการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
สำหรับการจ้างแรงงานต่างด้าว ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หนังสือเดินทาง ใบอนุญาตทำงาน หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพการเข้าเมือง ต้องได้รับการจัดเก็บและใช้งานตามข้อกำหนดของกฎหมาย โดยองค์กรควรแจ้งให้แรงงานต่างด้าวทราบถึงเหตุผลในการเก็บข้อมูล พร้อมทั้งรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเคร่งครัด หากข้อมูลต้องถูกโอนไปยังหน่วยงานของรัฐหรือประเทศต้นทาง ควรใช้มาตรการป้องกันที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล
สรุป แนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เพื่อคุ้มครองข้อมูลแรงงานในองค์กร
กฎหมาย PDPA เป็นกำหนดมาตรการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของแรงงานในองค์กรโดยครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคล 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลอ่อนไหว และข้อมูลการทำงาน นายจ้างในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส โดยขอความยินยอม รักษาความปลอดภัย และเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น แนวปฏิบัติสำหรับการคุ้มครองข้อมูลแรงงาน ครอบคลุมการรับสมัครและคัดเลือก การทำสัญญาจ้าง การประเมินผล การบันทึกเวลา การตรวจสุขภาพ การให้สวัสดิการ และการจ้างแรงงานต่างด้าว โดยทุกขั้นตอนต้องดำเนินการตามหลัก PDPA เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิและเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กร
อ้างอิง: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน