PageView Facebook
date_range 29/11/2024 visibility 500 views
bookmark HR Knowledge
รูปแบบการจ้างงานมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีข้อดีอย่างไร? - blog image preview
Blog >รูปแบบการจ้างงานมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีข้อดีอย่างไร?

การจ้างงานคือหัวใจของธุรกิจ มารู้จักรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย พร้อมข้อดีของแต่ละแบบ เพื่อเลือกให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ


อ่านบทความที่คุณอาจสนใจเพิ่มเติม:


ว่าด้วยเรื่องของการจ้างงาน

ปัจจุบัน รูปแบบการจ้างงานมีความหลากหลายมากขึ้นกว่าในอดีต ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำงานประจำที่สำนักงานอีกต่อไป ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ส่งผลให้รูปแบบการจ้างงานมีความหลากมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของทั้งนายจ้างและพนักงาน (ลูกจ้าง) การเลือกประเภทของการจ้างงานให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุด


รูปแบบการจ้างงานและข้อดีของแต่ละประเภท



การเลือกประเภทของการจ้างงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารงานบุคคลได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับ รูปแบบการจ้างงานที่พบบ่อย พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อดีของแต่ละแบบ เพื่อเป็นแนวทางช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกรูปแบบการจ้างงานที่สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น


การจ้างงานแบบประจำ (Full-Time)

การจ้างงานแบบประจำถือเป็นการจ้างงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นรูปแบบการจ้างงานที่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด พนักงานหรือลูกจ้างสามารถทำงานต่อเนื่องกับนายจ้างได้จนกว่าจะลาออก เกษียณอายุ หรือถูกเลิกจ้าง โดยรูปแบบการจ้างงานแบบประจำนั้นจะมีการกำหนดเวลาการทำงานตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด คือ ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

 

สิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับ

การจ้างงานแบบประจำ ลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้


1. เงินเดือนและค่าจ้าง:

  • ลูกจ้างได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือน ช่วยให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นคง

 

2. สวัสดิการต่าง ๆ:

  • ประกันสังคม: สิทธิในการรักษาพยาบาล กรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ และอื่น ๆ
  • ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ: ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยตามเงื่อนไข
  • สิทธิการลาตามกฎหมาย
  • สวัสดิการอื่น ๆ

 

3. ความมั่นคงทางอาชีพ:

  • มีสัญญาจ้างงานเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งช่วยปกป้องสิทธิของลูกจ้างจากการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

 

4. โอกาสก้าวหน้าในสายงาน:

  • พนักงานมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนเพิ่มตามผลงาน

 

ข้อดีของการจ้างงานแบบประจำ

1. สำหรับลูกจ้าง:

  • มีรายได้ที่สม่ำเสมอ ช่วยลดความกังวลด้านการเงิน
  • ได้รับสวัสดิการที่ครอบคลุม ดูแลทั้งสุขภาพและการใช้ชีวิต
  • มีโอกาสพัฒนาทักษะและสร้างเสถียรภาพในสายอาชีพ

 

2. สำหรับนายจ้าง:

  • สร้างทีมงานที่มีความมั่นคง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของงาน
  • ลดปัญหาการเปลี่ยนงานบ่อย เพราะพนักงานประจำมักมีความจงรักภักดีต่อองค์กร
  • วางแผนและพัฒนาบุคลากรในระยะยาวได้ง่าย

 

การจ้างงานแบบพาร์ตไทม์ (Part-time)

การจ้างงานแบบพาร์ตไทม์ เป็นรูปแบบการจ้างงานที่ลูกจ้างอาจทำงานเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน หรือไม่กี่วันต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งการจ้างงานแบบพาร์ตไทม์นั้นมีจุดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่น และเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่มีภาระหน้าที่อื่น ๆ

 

ข้อดีของการจ้างงานแบบพาร์ตไทม์

สำหรับลูกจ้าง:

  • ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสมดุลระหว่างการเรียนหรือภาระส่วนตัวกับการทำงาน
  • หารายได้เสริม: ช่วยเพิ่มรายได้สำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่มีงานประจำอยู่แล้ว
  • สร้างประสบการณ์: โอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานก่อนก้าวเข้าสู่การทำงานแบบเต็มเวลา

 

สำหรับนายจ้าง:

  • ลดต้นทุน: นายจ้างสามารถจ่ายค่าจ้างเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องการพนักงานเพิ่มเติม โดยไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสวัสดิการเต็มรูปแบบ
  • รองรับงานเฉพาะช่วงเวลา: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีช่วงเวลางานหนาแน่น เช่น ช่วงเทศกาลหรือฤดูท่องเที่ยว
  • ขยายกลุ่มพนักงาน: ดึงดูดคนที่ไม่สามารถทำงานเต็มเวลา เช่น นักเรียน หรือผู้สูงอายุที่ยังต้องการทำงาน

 

การจ้างงานแบบสัญญาจ้างชั่วคราว

การจ้างงานแบบสัญญาจ้างชั่วคราว เป็นรูปแบบการจ้างงานที่กำหนดระยะเวลาการทำงานอย่างชัดเจน เช่น 6 เดือน, 1 ปี, หรือ 3 ปี โดยทั่วไปลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐาน เช่น เงินเดือน สวัสดิการ หรือสิทธิการลาต่าง ๆ คล้ายกับการจ้างงานแบบประจำ โดยทั่วไปสัญญาจ้างชั่วคราวมักใช้ในโครงการพิเศษ งานที่มีความต้องการเร่งด่วน หรือการจ้างเพื่อทดแทนพนักงานที่ลาหยุดยาว เป็นต้น

 

การจ้างงานแบบสัญญาจ้างชั่วคราวเป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับทั้งลูกจ้างและนายจ้างที่ต้องการความยืดหยุ่นและมุ่งเน้นงานเฉพาะกิจ แม้จะขาดความมั่นคงในระยะยาว แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับลูกจ้างในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสำหรับนายจ้างในการลดต้นทุนและปรับใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่เหมาะสม

 

ข้อดีของการจ้างงานแบบสัญญาจ้างชั่วคราว

สำหรับลูกจ้าง:

  • โอกาสทดลองงาน: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจว่าตนเองเหมาะสมกับงานหรือบริษัทนั้นหรือไม่ ก่อนสมัครงานประจำ
  • สะสมประสบการณ์: ช่วยสร้างประสบการณ์ทำงานในหลายองค์กรหรือโปรเจกต์เฉพาะ
  • มีความยืดหยุ่น: ไม่ต้องผูกมัดระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสำรวจโอกาสใหม่ ๆ

 

สำหรับนายจ้าง:

  • ลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว: ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องสวัสดิการระยะยาวหรือภาระผูกพันเมื่องานเสร็จสิ้น
  • ตอบโจทย์งานระยะสั้น: เหมาะสำหรับโครงการที่ต้องการแรงงานเพิ่มเติมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
  • คัดกรองพนักงานก่อนจ้างประจำ: ใช้เป็นโอกาสในการประเมินความสามารถของลูกจ้างก่อนเสนอสัญญาจ้างงานถาวร

 

การจ้างงานแบบฟรีแลนซ์ (Freelanc)

การจ้างงานแบบฟรีแลนซ์ เป็นลักษณะการทำงานอิสระที่ไม่มีข้อผูกมัดทางสัญญาจ้างงานแบบถาวร งานมักจบลงตามข้อตกลง เช่น การส่งมอบโปรเจกต์ หรือการทำงานให้ครบระยะเวลาที่กำหนด โดยฟรีแลนซ์จะทำงานตามโปรเจกต์หรือข้อตกลงเป็นครั้ง ๆ ไปตามที่นายจ้างหรือผู้ว่าจ้างต้องการ ด้วยลักษณะงานที่มีความยืดหยุ่นสูง ผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์จึงสามารถบริหารจัดการเวลาและสถานที่ทำงานได้ตามความสะดวก เช่น การทำงานจากที่บ้านหรือแม้แต่ทำงานจากต่างประเทศ

 

การจ้างงานแบบฟรีแลนซ์จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้างในยุคที่ความยืดหยุ่นและการทำงานแบบดิจิทัลได้รับความนิยม ลูกจ้างสามารถควบคุมวิถีชีวิตและงานของตนเองได้ ในขณะที่นายจ้างสามารถลดค่าใช้จ่ายและเลือกใช้แรงงานตามความต้องการเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข้อดีของการจ้างงานแบบฟรีแลนซ์

สำหรับลูกจ้าง (ฟรีแลนซ์):

  • อิสระในการทำงาน: เลือกงานที่ชอบหรือถนัดได้ รวมถึงกำหนดชั่วโมงทำงานเอง
  • โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ: การทำงานกับลูกค้าหรือโปรเจกต์หลากหลายช่วยพัฒนาความรู้และทักษะใหม่ ๆ
  • ทำงานจากที่ใดก็ได้: ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทหรืออยู่ในสถานที่เดียวกันกับนายจ้าง
  • โอกาสหารายได้หลากหลาย: สามารถทำงานกับลูกค้าหลายรายพร้อมกันได้

 

สำหรับนายจ้าง:

  • ประหยัดต้นทุน: ไม่ต้องรับผิดชอบค่าจ้างระยะยาวหรือสวัสดิการ
  • เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง: สามารถจ้างฟรีแลนซ์ที่มีความสามารถเฉพาะทางสำหรับโปรเจกต์เฉพาะกิจ
  • ความรวดเร็ว: เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นหรือระยะเวลาดำเนินการสั้น

 

การจ้างงานแบบรายวันหรือรายชั่วโมง (Casual)

การจ้างงานแบบรายวันหรือรายชั่วโมง เป็นรูปแบบการจ้างงานชั่วคราวที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยลูกจ้างทำงานตามระยะเวลาหรือชั่วโมงที่ตกลงกับนายจ้าง ซึ่งอาจมีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัทและลักษณะของงานนั้น ๆ นอกจากนี้ การจ้างงานแบบรายวันหรือรายชั่วโมง (Casual) เนื้องานมักเป็นลักษณะชั่วคราวหรือเฉพาะกิจที่ต้องการแรงงานในระยะเวลาสั้น เช่น งานบริการลูกค้า งานอีเวนต์ หรือพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

 

ข้อดีของการจ้างงานแบบรายวันหรือรายชั่วโมง

สำหรับลูกจ้าง:

  • ความยืดหยุ่นด้านเวลา: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม หรือต้องการทำงานเพียงบางช่วงเวลา
  • รายได้ที่คำนวณง่าย: ค่าจ้างชัดเจนตามจำนวนวันหรือชั่วโมงที่ทำงาน
  • เปิดโอกาสให้กลุ่มเฉพาะ: เป็นโอกาสสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ที่เกษียณ หรือผู้ที่ต้องการกลับมาทำงานบางช่วง

 

สำหรับนายจ้าง:

  • ลดต้นทุน: จ้างงานเฉพาะช่วงเวลาที่จำเป็น ลดภาระด้านสวัสดิการระยะยาว
  • เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการบุคลากร: สามารถปรับเปลี่ยนจำนวนแรงงานตามความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
  • เหมาะสำหรับงานชั่วคราวหรือเฉพาะกิจ: เช่น งานอีเวนต์ งานขายตามฤดูกาล

 

สรุปรูปแบบการจ้างงานมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีข้อดีอย่างไร?

รูปแบบการจ้างงานของแต่ละรูปแบบมีจุดเด่นที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งในมุมมองของนายจ้างและมุมมองของลูกจ้าง ทั้งนี้ การพิจารณาเลือกรูปแบบการจ้างงานควรพิจารณาจากลักษณะงาน งบประมาณ และความยืดหยุ่นที่องค์กรต้องการ

hms-helpful-shadow svg fileโปรแกรมเงินเดือน HumanSoft
ทดลองใช้ฟรี 30 วันครบทุกฟังก์ชัน
  • บริการขึ้นระบบ ฟรี
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
  • ยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้